Header

ไวรัสตับอักเสบบี ภัยเงียบที่อาจพบโดยบังเอิญ

พญ. ชมพูนุท จุฑานันท์

ไวรัสตับอักเสบบี ภัยเงียบที่อาจพบโดยบังเอิญ

ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะรู้ว่าเป็นโดยบังเอิญ เช่น จากการตรวจร่างกายประจำปี การบริจาคเลือด เนื่องจากโรคไวรัสตับอักเสบบี มักไม่มีอาการแสดงใดๆที่ชัดเจน เราเคยเรียกกันในอดีตว่า “พาหะ” แต่อันที่จริงผู้ป่วยจำนวนหนึ่งจะตรวจพบว่าตับทำงานผิดปกติ และบางรายอาจพบว่า ได้รับไวรัสในระยะที่เกิดตับแข็งหรือโรคเป็นมะเร็งจากตับแข็งแล้วประมาณ10 -15 เปอร์เซ็นต์ ที่มีอาการตัวและนัยตาเหลือง หรือเป็นดีซาน มีอาการคล้ายๆ เป็นไข้หวัดใหญ่ อ่อนเพลียมาก รู้สึกเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ โดยผู้ป่วยเองส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง เนื่องจากอาการอักเสบของตับจะขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดเวลา

การติดต่อของไวรัสตับอักเสบบี

  • การติดจากแม่สู่ลูกขณะคลอด
  • การติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • การรับเลือดในสมัยก่อน
  • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การเจาะ การสัก การใช้ของมีคมร่วมกัน

อาการของผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี

1.ตับอักเสบเฉียบพลัน

จะมีอาการอ่อนเพลีย ไข้ต่ำ เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน อาจมีจุกที่ลิ้นปี่หรือท้องด้านบนขวาร่วมด้วย โดยต่อมาก จะมีตาเหลือง ปัสสาวะเข้มได้ ระยะนี้ตับจะอักเสบมาก แล้วจะค่อยๆ ดีขึ้นจนกลับสู่ปกติพร้อมๆกับยังมีอาการตาเหลืองต่ออีกสักระยะหนึ่ง ระยะนี้ มีโอกาสหายจากโรคได้ด้วยตัวเอง แต่บางราย ระยะนี้จะมีภาวะตับอักเสบรุนแรง ตับทรุดลงรวดเร็ว อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้

2.ตับอักเสบบีเรื้อรัง

ผู้ป่วยมักไม่ค่อยมีอาการ ไม่สามารถหายได้เอง ซึ่งผู้ป่วยตับอักเสบบีเรื้อรังที่ไม่ได้ตรวจติดตามหรือรักษา มีโอกาสเกิดโรคตับแข็งและเสี่ยงโรคมะเร็งตับเมื่อมาตรวจ แพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจเลือด HBsAg เพื่อการวินิจฉัย ตรวจค่า AST ALT HBeAg อาจมีการตรวจนับปริมาณไวรัส (HBV Viral load) เพื่อประเมินและวางแผนการรักษา นอกจากนี้จะมีการอัลตราซาวด์ตับเพื่อค้นหาความเสี่ยงโรคตับแข็งและโรคมะเร็งตับ เป็นระยะๆ

การรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบี

  1. ระยะสงบ จะติดตามผลเลือดเป็นระยะ อย่างน้อยทุก 3-6 เดือน เพื่อเตรียมตัวรักษาเมื่อมีการอักเสบโดยระยะที่ตับยังไม่อักเสบ จะยังไม่มีการใช้ยาต้านไวรัส
  2. ระยะตับอักเสบ จะประเมินปริมาณไวรัส และรักษาโรค โดย การใช้ยาฉีดหรือยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน
  3. ระยะที่มีตับแข็ง หรือระยะที่มีมะเร็งตับ จะพิจารณาใช้ยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน
  4. การรักษาในกลุ่มพิเศษ เช่น ผู้ป่วยที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยที่เตรียมรับยาเคมีบำบัดจะมีการพิจารณารักษาด้วยยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน

การปฏิบัติตัวของผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อตรวจเลือด และอัลตราซาวด์ตับเป็นระยะ ถ้ามียารับประทานต้านไวรัสให้รับประทานตามที่แพทย์ระบุ ไม่ควรขาดยา เนื่องจากอาจดื้อยาได้
  • สามารถรับประทานอาหารได้ทุกชนิด อาจหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกถั่วธัญพืชที่เก็บค้างนานเนื่องจากอาจมีสารอัลฟาท็อกซิน
  • ควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาชุด ยาลูกกลอน สมุนไพร ยาต้ม เนื่องจากอาจกดภูมิร่างกายทำให้ไวรัสกำเริบและทำให้เกิดตับอักเสบจากตัวยานั้นๆ เองได้

การป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี

  1. กรณีที่บุคคลในบ้านเดียวกันเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี สามารถทานข้าวร่วมโต๊ะกันได้ไม่พบการติดต่อทางน้ำลาย
  2. สิ่งของที่ไม่ควรใช้ด้วยกันกับผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี คือ มีดโกน ที่โกนหนวด กรรไกรตัดเล็บเนื่องจากอาจปนเปื้อนเลือดได้

ผู้ที่ควรฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

  1. เด็กทารกทุกราย
  2. ในคู่สามีภรรยา ที่มีคนใดคนหนึ่งเป็นโรค
  3. บุคคลในครอบครัวเป็นไวรัสตับอักเสบบี
  4. บุคลากรทางการแพทย์
  5. ผู้ป่วยไตวายที่ต้องฟอกไต
  6. ผู้ที่อาจมีภูมิต้านทานบกพร่อง เช่น ได้รับยากดภูมิ


ศูนย์การรักษาที่เกี่ยวข้อง

แผนกอายุรกรรมโรคระบบทางเดินอาหาร

สถานที่

อาคาร A ชั้น 2

เวลาทำการ

17.00-20.00 น.

เบอร์ติดต่อ

045244999

แพทย์ประจำศูนย์
พญ. สุภาสินี จิตปรีดา

เวชศาสตร์ฉุกเฉิน

นพ. เศวต ศรีศิริ

ศัลยศาสตร์

นพ. ชานนท์ ชัยวิเศษ

ออร์โธปิดิกส์

เวชศาสตร์การกีฬา

แพทย์แนะนำ

ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป

พญ.กิติยา จันทรวิถี

พญ.กิติยา จันทรวิถี

ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป

อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด

นพ. ลิขิต กำธรวิจิตรกุล

ศัลยเเพทย์ออร์ปิดิกส์