Header

โรคไข้เลือดออก - อาการ การรักษาและป้องกัน

โรคไข้เลือดออก

โรคไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever)

โรคไข้เลือดออกเกิดจากอะไร ?

โรคเลือดเลือดออกเป็นโรคระบาดชนิดหนึ่งที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ (Dengue virus) โดยมีพาหะเป็นยุงลาย(Aedes aegypti) โดยเฉพาะยุงลายตัวเมียที่ชอบหากินในเวลากลางวัน ผู้ที่ถูกยุงลายที่มีเชื้อไวรัสเดงกี่กัดอาจเกิดการติดเชื้อและมีอาการได้ ไวรัสเดงกี่มี 4 สายพันธุ์ ได้แก่ ไวรัสเดงกี่สายพันธุ์ 1, 2, 3 และ 4 โดยทุกสายพันธุ์สามารถทำให้เกิดไข้เลือดออกได้ มนุษย์จึงสามารถติดเชื้อไวรัสเดงกี่ซ้ำได้หลายครั้ง เมื่อติดเชื้อสายพันธุ์ใดแล้วร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้นไปตลอด แต่จะมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่นเพียงชั่วคราว

 

อาการของโรคไข้เลือดออกเป็นอย่างไร ?

อาการมีความรุนแรงแตกต่างกันไป ผู้ป่วยส่วนมากจะไม่มีอาการ สำหรับผู้ที่มีอาการ จะมีอาการที่เด่นชัดคือ ไข้สูง (39-40 องศาเซลเซียส) อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยตามตัว ปวดท้อง (โดยเฉพาะด้านขวาบน) คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร อาจมีเลือดออกที่ตำแหน่งต่าง ๆ โดยที่พบบ่อยที่สุดคือบริเวณผิวหนัง ลักษณะเป็นจุดเลือดออกเล็ก ๆ กระจายตามแขนขาลำตัว ที่พบบ่อยถัดมาคือเลือดกำเดาไหล กรณีมีเลือดออกที่อวัยวะภายใน เช่นทางเดินอาหารจะมีอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำและซีดอย่างรวดเร็ว ถ้ายิ่งมีเกล็ดเลือดต่ำร่วมด้วยอาการเลือดออกก็จะรุนแรงมากบางรายที่เมื่อไข้ลงแล้วจะมีภาวะช็อคตามมา ภาวะช็อกจากไข้เลือดออกเกิดจากการที่สารน้ำในหลอดเลือดรั่วออกไปนอกหลอดเลือด สามารถทำให้มีความดันโลหิตต่ำ มือเท้าเย็นกระสับกระส่าย ปัสสาวะออกน้อย ซึม ชัก หมดสติหรือหัวใจหยุดเต้นได้

 

ใครเป็นกลุ่มเสี่ยงของโรคไข้เลือดออกที่รุนแรง ?

ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงที่เกิดโรคไข้เลือดออกรุนแรงได้แก่ น้ำหนักตัวมาก หญิงตั้งครรภ์ เด็กทารก มีโรคประจำตัว เช่น ธาลัสซีเมีย โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่มีหัวใจวาย ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของตับ ผู้ป่วยไตวาย ผู้ที่ได้รับยาที่ระคายเคืองกระเพาะอาหารหรือยาที่มีผลต่อเกล็ดเลือด
 

โรคไข้เลือดออกวินิจฉัยอย่างไร ?

การวินิจฉัยอาศัยประวัติ การตรวจร่างกาย อาการทางคลินิก และผลตรวจทางห้องปฏิบัติการร่วมกัน โดยพบเม็ดเลือดแดงเข้มข้นขึ้น จำนวนเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดต่ำได้บ่อย นอกจากนี้ยังมีวิธีการตรวจหาเชื้อไข้เลือดโดยตรง (NS-1 antigen) โดยน่าเชื่อถือในช่วง 1-3 วันแรกของไข้ หรือตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อไข้เลือดออก (Dengue IgM) แต่ยังไม่มีวิธีไหนทำนายความรุนแรงของโรคได้ในปัจจุบัน

โรคไข้เลือดออกดูแลรักษาอย่างไร ?

ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสสำหรับโรคไข้เลือดออกโดยเฉพาะ ดังนั้นการรักษาหลักจึงเป็นการรักษาตามอาการเพื่อประคับประคองให้ร่างกายของผู้ป่วยกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว เช่น ให้ยาลดไข้แก้ปวด เช็ดตัวลดไข้ ดื่มน้ำเกลือแร่บ่อยๆ หลีกเลี่ยงการรับประทานยาลดไข้ที่ทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหารเนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงของภาวะเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร ในรายที่อาการไม่รุนแรงอาจหายได้เองภายใน 2-7 วัน แต่หากพบว่าผู้ป่วยมีอาการกระสับกระส่ายอาเจียนมาก ปวดท้องมาก ไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว ตัวเย็นผิดปกติ ไม่ปัสสาวะนานกว่า 6 ชั่วโมง ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

ป้องกันไข้เลือดออกได้อย่างไร ?

  • ป้องกันไม่ให้ถูกยุงลายกัด โดยสวมใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิด ใช้สารไล่ยุงชนิดต่างๆ เช่น DEET ติดมุ้งลวดที่หน้าต่าง นอนในมุ้ง รวมถึงป้องกันไม่ให้ยุงลายเข้ามาหลบซ่อนในบ้าน 
  • ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายบริเวณบ้านและบริเวณใกล้เคียง ด้วยการปิดฝาภาชนะที่มีน้ำขังไม่ให้ยุงเข้าไปวางไข่ได้ เปลี่ยนน้ำในภาชนะที่ปิดไม่ได้ทุกสัปดาห์ ปล่อยปลากินลูกน้ำในอ่างบัว รวมทั้งหากพบการระบาดในชุมชนก็ควรแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อฉีดยากันยุงและใส่ทรายอะเบทในแหล่งน้ำขัง


วัคซีนไข้เลือดออกคืออะไร ?

การให้วัคซีนไข้เลือดออก 
วัคซีนป้องกันไข้เลือดออกมี 2 ชนิด ได้แก่

ชนิดที่ 1 วัคซีนไข้เลือดออกชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ ที่มีแกนหลักเป็นไวรัสเดงกีสายพันธุ์ที่ 2  
ฉีดได้ในเด็กและผู้ใหญ่อายุ 4-60 ปี

เข็มที่ 1 กับ เข็มที่ 2 ฉีดห่างกัน 3 เดือน สามารถฉีดได้ทั้งผู้ที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน (ไม่ต้องตรวจภูมิคุ้มกันก่อนฉีด)

ประสิทธิภาพในการป้องกันไข้เลือดออกจากทุกสายพันธุ์ 80%
ประสิทธิภาพในการป้องกันไข้เลือดออกที่ต้องนอนโรงพยาบาล 90%

 

ชนิดที่ 2 วัคซีนไข้เลือดออก ชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ที่มีแกนหลักเป็นไวรัสไข้เหลือง

ฉีดได้ในเด็กและผู้ใหญ่อายุ 6-45 ปี

เข็มที่ 1 กับ เข็มที่ 2 ฉีดห่างกัน 6 เดือน เข็มที่ 2 กับ เข็มที่ 3 ฉีดห่างกัน 6 เดือน

แนะนำในคนที่มีประวัติเป็นไข้เลือดออกมาก่อนเท่านั้น (ต้องตรวจภูมิคุ้มกันก่อนฉีด)

ประสิทธิภาพในการป้องกันไข้เลือดออกจากทุกสายพันธุ์ 65%
ประสิทธิภาพในการป้องกันไข้เลือดออกที่ต้องนอนโรงพยาบาล 80%

 

อ้างอิงจากบทความ 

นพ.วรวิทย์ กันทะมาลี

ผศ. ดร. นพ. นพพร อภิวัฒนากุล

สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย



ศูนย์การรักษาที่เกี่ยวข้อง

ผู้ป่วยนอก

แผนกผู้ป่วยนอก

สถานที่

อาคาร A ชั้น 2

เวลาทำการ

07:00 - 20:00 น.

เบอร์ติดต่อ

045-244-999

แพทย์แนะนำ

ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป

พญ.กิติยา จันทรวิถี

พญ.กิติยา จันทรวิถี

ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป

อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด

นพ. ลิขิต กำธรวิจิตรกุล

ศัลยเเพทย์ออร์ปิดิกส์